เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 เวลา 13.30 น. ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ อผ.163-166/2564 ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับ พวกรวม 2 คน (ผู้ฟ้องคดี) กับนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 9 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคดีพิพาทที่เกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กรณีการเรียกความเสียหายทางละเมิด คดีโครงการรับจำนำข้าว มูลค่ารวมกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท
ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุด พิพากษากลับ มีคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว 10,028 ล้านบาท
สำหรับบรรยากาศที่สำนักงานศาลปกครอง สำนักงานฯได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน. ทุ่งสองห้องราว 20 นายมารักษาความสงบเรียบร้อย ขณะเดียวกันก็มีสื่อมวลชนทั้งจากไทยและต่างประเทศมาติดตามการอ่านคำพิพากษา ขณะเดียวกันนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลด้วย
นายนรวิชญ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า มาฟังคำพิพากษาของศาลในฐานะที่เป็นทนายความส่วนตัวของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ส่วนในวันนี้ตนยังไม่ได้เตรียมอะไรมาใช้ในชั้นศาลเพราะว่า ในวันนี้เป็นเพียงแค่การนัดฟังคำพิพากษาเท่านั้น
เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นทนายความส่วนตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ เจ้าตัวได้ฝากอะไรผ่านมาหรือไม่ นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกับนางสาวยิ่งลักษณ์ และในการต่อสู้คดีที่กินเวลานานหลายปี ตนหวังว่าเมื่อคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเป็นคุณกับฝ่ายเรา เราจึงหวังว่าในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ก็น่าจะมีผลคำพิพากษาออกมาเป็นคุณด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่าทรัพย์สินที่โดนอายัดอยู่มีกี่รายการ และมูลค่าสูงแค่ไหน นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ทรัพย์สินที่โดนอายัดอยู่นั้นมีจำนวน 30 กว่ารายการ แต่มูลค่าของทรัพย์สินที่รวมกันทั้งหมดนั้น ตนจำไม่ได้ว่ามีมูลค่ามากแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2566 ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนคำสั่ง กระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (นางสาวยิ่งลักษณ์) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงที่ 9 (กรมบังคับคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ 8 เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ที่ 9) ในการยึด อายัดทรัพย์สินเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ตามหนังสือลับ ด่วนที่สุดที่ กค 0206/ล 2174 ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2562 ที่ยกคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมของผู้ฟ้องคดีที่ 2 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ศาลปกครองกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เห็นว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนในมูลละเมิดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯที่จะต้องดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนต้องชดใช้ เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่อื่นที่มีส่วนต้องรับผิดในมูลละเมิดเดียวกันกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดตามสัดส่วนเฉพาะในส่วนของตน แล้วจึงนำจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ต้องรับผิดมากำหนดสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน มิใช่พิจารณาเพียงเสนอความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ผู้เดียวเป็นผู้กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ
กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 กระทำโดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6ตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ
คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงที่ 9 จึงไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด และไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครอง ดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 อ้างว่า ตนมีกรรมสิทธิรวมกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด โดยมีมูลเหตุมาจากคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 9 จึงยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด
อย่างไรก็ดีเมื่อมีคำพิพากษาในวันนี้ ทำให้คดีรับผิดทางละเมิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงที่สิ้นสุดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขั้นตอนต่อไป กระทรวงการคลังจะต้องแจ้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาชำระหนี้ภายในกำหนด หากไม่ชำระภายในกำหนด จะมีอำนาจฟ้องศาลปกครองอีกคดีหนึ่ง เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นข้าราชการการเมือง ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามความหมายในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
ในขณะตำแหน่งประธานกรรมการนโยบายข้าว ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินนโยบายจำนำข้าวผิดพลาด จึงเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ และคำสั่งกระทรวงการคลังเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชวิธีปฎิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 หากไม่ชำระตามคำสั่งกระทรวงการคลัง จึงต้องนำคดีไปฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อศาลปกครอง มิใช่ศาลยุติธรรม